ขณะนี้จีนรับผิดชอบการผลิตและการบริโภคถ่านหินครึ่งหนึ่งของโลก แต่จีนไม่ได้เป็นแหล่งการเติบโตของอุปสงค์ที่สำคัญอีกต่อไป ในความเป็นจริง ปริมาณการใช้ถ่านหินของจีนหยุดเติบโตหลังจากปี 2556 เนื่องจากความพยายามในการกระจายพลังงานผสม ลดการพึ่งพาถ่านหิน และเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้พลังงานเข้มข้นน้อยลง แม้ว่าการเติบโตของการบริโภคถ่านหินของอินเดียในช่วงปี 2010 นั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ยังต่ำกว่าของจีนในช่วงปี 2000 การปฏิวัติจากหินดินดานในสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดคู่แข่งที่น่ากลัวกับถ่านหิน ซึ่งก็คือก๊าซธรรมชาติ ราคาก๊าซที่ต่ำได้บีบความต้องการถ่านหินของสหรัฐมากกว่าปัจจัยอื่นใด ในปี 2552 สัดส่วนของถ่านหินในพลังงานผสมของสหรัฐอยู่ที่ 45% โดยมีก๊าซอยู่ที่ 23% ถ่านหิน ภายในปี 2562 ส่วนแบ่งของถ่านหินลดลงเหลือ 24% ในขณะที่ก๊าซคิดเป็น 38% ของการผลิตไฟฟ้า การส่งออก LNG ได้แพร่กระจายผลกระทบของการปฏิวัติจากหินดินดานออกไปนอกสหรัฐอเมริกา ทำให้ราคาก๊าซระหว่างประเทศตกต่ำลง การรวมกันของราคาก๊าซที่ลดลงและราคาคาร์บอนในยุโรปส่งผลให้ถ่านหินลดลงเช่นเดียวกัน ในปี 2552 ส่วนแบ่งของถ่านหินในพลังงานผสมของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 31% เทียบกับ 16% สำหรับก๊าซ ในปี 2562 ถ่านหินลดลงเหลือ 15%